โลกสังคมของเราก็ไม่ต่างจากรถไฟขบวนนั้น มันเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา บรรทัดฐาน ค่านิยม ความคิด ทัศนคติ ความเชื่อ และกฎหมายทั้งหลายถูกยกขึ้น ท้าทาย ถูกทุบทำลาย และสร้างใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่า “ถูกต้องที่สุด ดีงามที่สุด” ในยุคหนึ่ง อาจกลายเป็นสิ่งที่ถูกตั้งคำถามหรือถูกมองว่าไร้มนุษยธรรมในอีกยุคหนึ่งก็ได้
เราเคยมีสังคมที่เชื่อว่าคนบางเชื้อชาติ บางเพศ “ไม่มีความเป็นมนุษย์พอ” จึงไม่ควรมีสิทธิเลือกตั้ง เราเคยมีวงการแพทย์ที่วินิจฉัยว่าการเป็นเกย์หรือกะเทยคือ “โรคจิต” ที่ต้องรักษาด้วยการช็อตไฟฟ้าหรือแช่น้ำแข็ง แต่เวลาผ่านไปไม่เท่าไร หลายประเทศเริ่มรับรองการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันเป็นเรื่องถูกกฎหมาย แม้กระทั่งความคิดเรื่อง “ผู้หญิงเป็นของต่ำ ห้ามขึ้นยอดพระธาตุ” ก็ค่อย ๆ ถูกวิจารณ์ ถูกปฏิเสธ และอาจเลือนหายไปจากบางวัฒนธรรมในอนาคต ทั้งหมดนี้ตอกย้ำข้อเท็จจริงง่ายๆ ข้อหนึ่งที่เราสามารถเห็นได้ชัดเจน แต่กลับรับยอมรับได้ยาก นั่นคือ “ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง” เราอาจจะชอบความมั่นคง คาดเดาได้ แต่เราไม่มีวันหยุดโลกไม่ให้เปลี่ยนไปได้เลย
หากตั้งใจมองดีๆ เราทุกคนต่างเป็นฟันเฟืองเล็กๆ ของความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ สังคมไม่มีชีวิต มันไม่สามารถเปลี่ยนไปเองได้ แต่ชีวิตในสังคมอย่างพวกเราต่างหากที่เปลี่ยนแปลงมัน คำถามเล็กๆ ที่คนธรรมดาบางคนกล้าถามออกมา ตั้งแต่เด็กผิวดำที่ถามพ่อของเขาว่า “ทำไมผมต้องทำงานอยู่ในไร่ฝ้าย ในขณะที่เด็กผิวขาวได้ไปโรงเรียน” หรือคนตัวเล็กๆ ที่ตั้งคำถามว่า “ทำไมเราต้องเคารพรักกษัตริย์ที่ไม่ได้รักพวกเราด้วย” รวมไปถึงคำต่อความอยุติธรรม “ทำไมคนรวยขับรถชนคนแล้วไม่โดนจับ” ตลอดจนการจินตนาการถึงสังคมทางเลือก ผ่านการมองดูโลกที่กว้างกว่ากะลาที่ครอบตัวเอง “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งความสงบสุข แล้วทำไมประเทศสแกนดิเนเวียซึ่งไม่ได้ถือศาสนาพุทธกลับสงบสุขกว่าบ้านเราล่ะครับ” ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่คำถามลอยๆ แต่คือการค่อยๆ แสดงหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมในอนาคต
การรู้ว่าสังคมกำลังเปลี่ยนอยู่ตลอด และตัวเรานี่แหละที่เป็นทั้งเหตุกับผลของความเปลี่ยนแปลงนั้น นำมาซึ่งคำถามสำคัญว่า แล้วเราจะรับ “บทบาท” แบบไหนในเรื่องนี้ เราอาจเลือกเป็น “ตัวละคร” ที่ลงมือมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่ ผลักดันให้มันเป็นไปในทางที่เราต้องการ หรือเลือกเป็น “ก้อนหิน ต้นไม้ ใบหญ้า” ยืนเงียบๆ อยู่ข้างทาง ปล่อยให้คนอื่นเป็นผู้กำหนดทิศทางว่ารถไฟขบวนนี้ควรวิ่งไปที่ไหน จะเบรก จะเร่ง หรือจะปล่อยให้ตกรางไปเองก็ตามยถากรรม
W. E. B. Du Bois นักคิดชาวอเมริกันเคยพูดไว้ว่า เราทุกคนต้องเลือกว่าจะเป็นหนึ่งในแรงงานผู้ช่วยสร้างสังคมใหม่ หรือจะเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ที่คอยมองดูสังคมรอบตัวเปลี่ยนไปเฉยๆ ไม่มีใครรอดจากการเลือกทางสักคน เพราะแม้แต่การบอกว่า “ฉันไม่เลือก” ก็เท่ากับเราเลือกให้คนอื่นตัดสินใจแทนเราอยู่ดี
แนวคิดนี้สะท้อนชัดในชีวิตและงานของ Howard Zinn นักกิจกรรม นักการศึกษา และนักประวัติศาสตร์ ผู้เขียนหนังสือ A People’s History of the United States ซึ่งพยายามเล่าประวัติศาสตร์อเมริกาจากมุมมองของผู้หญิง คนผิวสี ชาวพื้นเมือง แรงงานผู้อพยพ และคนจน มากกว่าจะเล่าจากสายตาของชายผิวขาวผู้มั่งคั่ง หนังสือเล่มนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนักว่ามีอคติ เลือกข้าง แต่นั่นก็ชี้ให้เห็นว่า ผู้คนจำนวนมากยังเชื่อว่าประวัติศาสตร์ที่เขียนเพื่อเชิดชูผู้มีอำนาจคือ “ความจริงที่เป็นกลาง” (การจะบอกว่าอะไรซักอย่างเอียงข้างแสดงว่าเราต้องสามารถกำหนดตรงกลางให้ได้ก่อนจริงไหมครับ) ในขณะที่งานที่เขียนจากมุมมองของผู้ถูกกดขี่กลับถูกตราหน้าว่าเอนเอียง ทั้งที่ในความเป็นจริง “ไม่มีใครเขียนประวัติศาสตร์จากสิ่งที่ว่างเปล่าได้เลย” เราทุกคนต่างถูกเงื่อนไขทางสังคมหล่อหลอมมุมมองของเราอยู่แล้ว เพียงแต่เวลาผู้ชนะเล่าเรื่องของตัวเอง เรามักเผลอคิดไปว่ามันคือข้อเท็จจริงปลอดอคติเท่านั้นเอง
Howard Zinn ตั้งชื่อหนังสือชีวประวัติของตัวเองว่า You Can’t Be Neutral on a Moving Train — “คุณเป็นกลางท่ามกลางรถไฟที่กำลังเคลื่อนอยู่ไม่ได้หรอก” ภาพรถไฟที่วิ่งไปข้างหน้าเหมือนสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากคุณยืนอยู่บนรถไฟขบวนนี้ คุณหนีไม่พ้นแรงสั่นสะเทือน การเร่ง การเบรก การกระชาก คุณจะบอกว่าตัวเองเป็นกลาง ไม่ถูกอะไรแตะต้องเลยคงทำไม่ได้
Paulo Freire นักการศึกษาและนักกิจกรรมชาวบราซิลจึงเคยพูดว่า “การเป็นกลางในความขัดแย้งระหว่างคนมีอำนาจกับคนไร้อำนาจ ก็คือการเลือกข้างคนมีอำนาจไปแล้วนั่นแหละ” เพราะเมื่อคุณไม่ช่วยส่งเสียงของคนที่เบากว่า คุณก็ยอมให้เสียงของคนที่ดังอยู่แล้วครอบงำต่อไปโดยปริยาย
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เราจึงเห็นคลื่นการเคลื่อนไหวทางสังคมเกิดขึ้นทั่วโลก ผู้คนจำนวนมากเริ่มตระหนักว่า การนิ่งเงียบก็เป็นการเลือกข้างแบบหนึ่ง และเริ่มออกมาเดินขบวน ประท้วง หรือทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์เพื่อแสดงจุดยืน ตั้งแต่ Women’s March ที่เรียกร้องสิทธิเท่าเทียมของผู้หญิง A Day Without Immigrants ที่ชี้ให้เห็นคุณค่าของผู้อพยพ Tax March ที่ทวงถามเรื่องภาษีของคนรวย ไปจนถึง Pride March ของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ และการประท้วงอีกหลากหลายรูปแบบในหลายประเทศ จุดร่วมสำคัญคือ “ผู้มีอำนาจไม่ควรเป็นกลุ่มเดียวที่กำหนดอนาคตของสังคม” คนธรรมดาอย่างเราก็มีสิทธิและหน้าที่จะร่วมออกแบบอนาคตร่วมกันด้วย
แม้กระแสการเคลื่อนไหวจะกว้างขวางขึ้น ทั้งบนถนนและในโลกออนไลน์ แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่เลือกจะเป็น “ไทยมุง” มากกว่าจะเป็น “ผู้ร่วมผลัก” บ้างอาจรู้สึกว่าไม่เกี่ยวข้อง ไม่อยากยุ่งกับการเมือง เบื่อความขัดแย้ง หรือเพียงเพราะชีวิตตัวเองสบายพอแล้ว จนไม่เห็นความจำเป็นต้องเสี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงอะไร หากคุณเป็นหนึ่งในคนกลุ่มนั้น ผมอยากชวนให้ลองคิดใหม่ว่า การปล่อยให้คนอื่นตัดสินใจแทนเรา ก็เท่ากับเรายอมรับผลลัพธ์ที่ตามมาโดยไม่ปริปากโต้แย้งแล้วเหมือนกัน
ผมเชื่อว่าหน้าที่หนึ่งของเรา — โดยเฉพาะคนที่พอเข้าใจว่าโลกสังคมกำลังเคลื่อนไปทางไหน — คือการเตือนคนรอบตัวที่ยังเฉยชา ให้เห็นว่า ทุกการเลือกหรือไม่เลือกของพวกเขา ล้วนมีส่วนกำหนดทิศทางของสังคมทั้งสิ้น คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำม็อบ ไม่ต้องเป็นนักกิจกรรมมืออาชีพ แค่ยอมรับก่อนว่า “คุณอยู่บนรถไฟขบวนนี้เหมือนกัน” และการตัดสินใจของคุณก็ส่งแรงสั่นสะเทือนกลับมาหาคุณเองในสักวันหนึ่ง
ถ้าคุณเพิ่งตระหนักเรื่องนี้จากการอ่านบทความนี้ หรือกำลัง “เกือบจะเชื่อ” แต่ยังลังเล ผมอยากฝากคำพูดของ Margaret Mead นักมานุษยวิทยาที่ผมชอบไว้ให้คิดต่อเงียบๆ ว่า
“อย่าประเมินพลังของกลุ่มคนตัวเล็กๆ ที่มีความเชื่อและเป้าหมายร่วมกันต่ำไป เพราะความเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ในโลกใบนี้ ล้วนเริ่มจากคนกลุ่มเล็กๆ แบบนี้เสมอ”
บทความนี้เขียนขึ้นโดยได้รับแรงบรรดาลใจจาก You Can’t Be Neutral on a Moving Train ของอาจารย์ปีเตอร์ คอฟแมน ซึ่งจากพวกเราไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2018 ด้วยโรคมะเร็งปอด ขอให้อาจารย์พักผ่อนด้วยความสงบและเคารพรักครับ 🤍
Labels: Topic