Girl from Nowhere, Watch from Anywhere

May 10, 2021

กระแสดราม่า “แนนโน๊ะ” ช่วงที่มีเพจบน Facebook ไลฟ์สดซีรีส์ เด็กใหม่ ซีซัน 2 ให้ดูกันฟรีๆ กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอยากกลับมาคุยเรื่อง “การละเมิดลิขสิทธิ์” อีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ในมุมกฎหมาย แต่เป็นการมองผ่านแว่นสังคมวิทยา เพราะทันทีที่มีคนสตรีมผิดกฎหมาย ก็ต้องมีคนอีกกลุ่มออกมาก่นด่า ทั้งตัวเพจที่ไลฟ์ตลอดจนคนที่เข้าไปดู ว่าเป็นพวกไม่เคารพกฎหมาย พวกชอบเอารัดเอาเปรียบ ซึ่งในแง่กฎหมายมันก็ผิดอยู่แล้วตรงไปตรงมา แต่ผมอยากพาไปดูต่อว่าหลังจากตราหน้าคนพวกนี้ว่าเป็นคนเลวจบแล้ว เรามีอะไรให้เข้าใจเพิ่มเติมได้อีกบ้าง เผื่อจะสามารถแก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์เหล่านี้ได้ในอนาคต

ในโลกปัจจุบันทรัพย์สินทางปัญญาที่จับต้องไม่ได้อย่างเพลง หนัง ซีรีส์ เกม ฯลฯ กลายเป็นของมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงมาก อย่างในสหรัฐฯ มีการประเมินว่า ทรัพย์สินทางปัญญาช่วยขับเคลื่อน GDP ไปกว่าหนึ่งในสาม ( ดูสถิติเพิ่มเติมที่นี่ ) ดังนั้นการที่เจ้าของลิขสิทธิ์จะจริงจังกับการปกป้องผลงานของตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร เพราะมันคือ “เครื่องจักรทำเงิน” สำคัญของเขา ถ้าเป็นเรา ก็คงไม่อยากให้ใครมาลักกินฟรีเหมือนกัน

คำอธิบายยอดฮิตที่มักได้ยินเวลาพูดถึงการละเมิดลิขสิทธิ์คือ “ถ้าของถูกลิขสิทธิ์เข้าถึงง่ายและราคาไม่แพง คนส่วนใหญ่ก็ยอมจ่ายอ่ะนะ” ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปก็พอเห็นภาพอยู่ สมัยที่เรายังไม่มีแอปสตรีมมิง เพลงส่วนใหญ่มักถูกดาวน์โหลดจากเว็บเถื่อน ผ่านโปรแกรมแชร์ไฟล์อย่าง Limewire (แอบแก่ไปหน่อย), 4shared(ก็ยังแก่อยู่นะ) หรือการแปลงวิดีโอจาก YouTube เป็นไฟล์ .mp3(ไม่ต่างกัน -,,-) เพื่อเอามาฟังกันเอง แต่พอมีบริการอย่าง iTunes, Apple Music หรือแพลตฟอร์มฟังเพลงฟรีมีโฆษณาอย่าง Joox, Spotify ช่องทางเก่าๆ อย่าง 4shared ก็เริ่มเลือนหาย คนที่เคย “ผิดกฎหมาย” มาก่อนก็ไม่ได้เลวถึงขั้นอยากละเมิดตลอดเวลา เปลี่ยนมาใช้บริการพวกนี้กัน ที่เคยเป็นคนชั่วนั้นเพียงเพราะตอนนั้นมันไม่มีทางเลือกอื่นที่เข้าถึงง่ายและอยู่ในงบที่จ่ายไหวเท่านั้นเอง

กรณีภาพยนตร์ก็คล้ายกัน ช่วงต้นยุค 2000s การโหลดบิตผ่านระบบ P2P อย่าง BitTorrent พุ่งสูงมาก แต่พอ Netflix เข้ามา ทำให้การ “ดูหนังเถื่อน” กลายเป็นเรื่องเชย คนจำนวนไม่น้อยหันไปสมัครสมาชิกแบบถูกลิขสิทธิ์ ทั้งๆ ที่อินเทอร์เน็ตก็เร็วขึ้น โหลดบิตก็เร็วขึ้น เว็บไซต์อย่าง The Pirate Bay ก็ยังอยู่เหมือนเดิม แต่พอทางเลือกถูกกฎหมายมันง่ายพอ สะดวกพอ และไม่แพงจนเกินไป คนก็พร้อมจะปรับตัว เห็นไหมครับ คนเราไม่ได้เลวบริสุทธิ์หรอก ถ้ามีทางเลือกที่เหมาะสมให้ คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยากเป็นคนเลวไปตลอด

อย่างไรก็ตาม พอเวลาผ่านไป เราไม่ได้มีแค่ Netflix แล้วครับ แต่ดันมี Hulu, Amazon Prime, HBO Go, Disney+ ฯลฯ ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด ถึงจะ “เข้าถึงง่าย” อยู่ แต่สำหรับหลายคนเริ่ม “จ่ายไม่ไหว” แล้ว ดังนั้นการกลับไปใช้วิธี Torrenting เลยเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ( ดูรายงานจาก VICE ) ภาพตรงนี้บอกเราชัดเจนว่า การละเมิดลิขสิทธิ์ไม่ได้ผูกอยู่กับศีลธรรมส่วนบุคคลอย่างเดียว แต่เกี่ยวพันกับปัจจัยทางการตลาด เศรษฐกิจ และโครงสร้างรายได้ของผู้บริโภคด้วยนะ

เวลามีคนละเมิดลิขสิทธิ์ ก็มักมีเสียงสวนกลับมาว่า “ถ้าคนมันจะดีจริง ๆ ก็ไม่ทำสิ เงินไม่มี ก็อย่าไปดู” คือถ้าพูดแบบนี้ก็เหมือนเปรียบว่าคนไม่มีเงินซื้อรถ ถ้าไม่ขโมย ก็เลือกเดินทางด้วยวิธีอื่น แต่การเทียบการดูเถื่อนเท่ากับการขโมยรถนั่นอาจไม่ง่ายนัก ในแง่ “ผิดกฎหมายเหมือนกัน” อาจจะถูกครับ แต่ในแง่ผลกระทบเชิงสังคมมันเทียบกันตรงๆ แบบนั้นไม่ได้ เพราะสื่อบันเทิงอย่างเพลง หนัง ซีรีส์ ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแค่ความบันเทิงส่วนตัวเท่านั้น มันยังทำงานในฐานะ “วัฒนธรรมร่วม” ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมด้วย (อธิบายง่ายๆ คือเราไม่มีรถส่วนตัว ไปใช้รถสาธารณะเราถึงจุดหมายเหมือนกัน แต่เราไม่ได้ดูแนนโน๊ะ เราไปดูหนังเรื่องอื่นที่ดูฟรีแทน มันคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่องนะ-- สำหรับคุณผู้ชายจ๋าๆ ผมขอแนะนำให้เทียบกับการดูบอล แทนที่จะเป็นคนชั่วดูบอลเถื่อน เปลี่ยนเป็นคนดีไปดูไตรกีฬาที่ถ่ายทอดฟรีแบบนี้จะคุยกับเพื่อนพรุ่งนี้เช้ารู้เรื่องยังไงครับ)

ลองจินตนาการว่าเป็นเราอยู่หมู่บ้านเล็กๆ แต่ไม่เคยไปร่วมงานศพ งานแต่งของใครเลย เราไม่ตายหรอก แต่เราจะกลายเป็นคนนอกอย่างชัดเจน หนังหรือซีรีส์ดังๆ ก็ทำหน้าที่คล้ายๆ กัน ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มเพื่อนกะเทย แต่ไม่เคยดู หอแต๋วแตก เลย เวลาเพื่อนพูดประโยค “หล่อนมีพิรุธอีกแล้วนะ” หรือ “ที่เจ๊ไล่หนูออกจากบ้าน…” คุณอาจยืนงงว่าขำตรงไหน หรือถ้าไม่เคยดู Harry Potter หรือ Star Wars คุณจะพลาดมุกมีมบนโลกออนไลน์ไปเยอะมาก รวมถึงในกรณีซีรีส์ เด็กใหม่ ซีซัน 1 ที่เคยฮิตจนมีมีมแนนโน๊ะเต็มไทม์ไลน์ ก็ยิ่งทำให้คนจำนวนมาก “ไม่อยากตกขบวน” ในซีซัน 2 ตรรกะเดียวกันเลย

ถ้าคุณไม่ดู คุณก็จะเก็ตไม่หมดว่าคนแชร์ต่อๆ กันเรื่องอะไร หัวเราะอะไร ภาวะแปลกแยกจากวงสนทนาแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่สัตว์สังคมอย่างมนุษย์ชอบนัก และนี่คือหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมคนถึงพยายามหาทางเข้าถึงคอนเทนต์เหล่านี้ แม้บางครั้งจะต้องล้ำเส้นกฎหมายก็ตาม (ย้ำอีกทีว่าผมไม่ได้บอกว่า “จำเป็น” จนใช้เป็นข้ออ้างได้ แต่กำลังชี้ให้เห็นอิทธิพลทางสังคมของสื่อเหล่านี้เน้อ)

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งคือภาพลวงตาที่เจ้าของลิขสิทธิ์บางรายสร้างขึ้นมาว่า ถ้าคนไม่เลือกช่องทางถูกกฎหมาย ก็แปลว่า “ต้อง” ไปใช้ช่องทางผิดกฎหมายเสมอ เหมือนโลกมีแค่ขาวหรือดำ ไม่มีพื้นที่สีเทา ตัวอย่างชัดๆเลย คือกรณีที่สมาคมอุตสาหกรรมเพลงของอเมริกา (RIAA) ยื่นฟ้องโปรแกรม Limewire แล้วประเมินความเสียหายแบบ 1:1 ว่าทุกครั้งที่มีการดาวน์โหลดเถื่อนหนึ่งครั้ง เท่ากับเจ้าของลิขสิทธิ์เสียโอกาสขายไปหนึ่งชุด พอเอาจำนวนดาวน์โหลดทั้งหมดไปคูณ กลายเป็นตัวเลขความเสียหายระดับหลายสิบล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสื่ออย่าง Forbes ยังต้องออกมาชี้ว่าตัวเลขดังกล่าวมากกว่ามูลค่าทุกสิ่งที่ผลิตได้ทั้งปีของทั้งโลกเสียอีก การคิดแบบตรงไปตรงมาว่า “โหลดหนึ่งครั้ง = เสียรายได้หนึ่งครั้ง” จึงไม่สอดคล้องกับความจริง และเป็นตรรกะที่บิดเบี้ยวพอสมควร

ในทางกลับกัน งานวิจัยจากหลายประเทศกลับพบว่า คนที่มีพฤติกรรมเสพสื่อแบบผิดลิขสิทธิ์จำนวนไม่น้อย เป็นกลุ่มที่จ่ายเงินซื้อของถูกลิขสิทธิ์ในปริมาณสูงด้วย ( ดูรายงานจากสหราชอาณาจักร/ฝรั่งเศส ) คือไม่ได้เป็น “โจรเต็มตัว” อย่างที่มักถูกวาดภาพไว้ และในชีวิตจริงคนส่วนใหญ่ไม่ได้มีเงินพอจะซื้อหรือสมัครทุกแพลตฟอร์ม ทุกเรื่อง ทุกเพลงอย่างถูกต้องครบถ้วน จึงเกิดพฤติกรรม “แชร์บัญชี” ดูซีรีส์จากแอคเคานต์เพื่อน ซึ่งในแง่รายได้ของเจ้าของเนื้อหา ถือว่าไม่ได้ต่างจากการละเมิดลิขสิทธิ์มากนัก เพียงแต่เป็นโซนสีเทาที่สังคมเงียบๆ กลับยอมรับได้ซะงั้น อย่างนี้จะเรียกว่าความสัมพันธ์กับคนที่เข้าถึงลิขสิทธิ์ช่วยให้เราละเมิดลิขสิทธิ์ได้ถูกต้องไหมครับ เพราะเจ้าของลิขสิทธิ์ก็ไม่ได้เงินใดเพิ่มๆ จากจำนวนการรับชมที่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน?

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า “คนเลวบริสุทธิ์ไม่มีอยู่จริง”  นะครับ แน่นอนว่ามีบางคนที่ต่อให้มีเงิน มีช่องทางถูกกฎหมายพร้อม ก็ยังเลือกละเมิดอยู่ดี และเราคงกำจัดคนกลุ่มนี้ให้หายไปจากโลกไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ “ลดสัดส่วน” ของเขาให้เหลือน้อยที่สุด จนไม่มีนัยสำคัญต่อระบบ โดยการแก้ไขเงื่อนไขเชิงโครงสร้าง เช่น ความเหลื่อมล้ำ รายได้ขั้นต่ำ ความยากจน ระดับการพัฒนาประเทศ ฯลฯ (POVนักอ่าน: ไอ้นี่ พูดแต่ให้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง ซ้ำๆ น่ารำคาญว่ะ 5555) แต่มันจะทำยังไงล่ะครับ จะเห็นว่าประเทศที่มีอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์สูง มักสัมพันธ์กับปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้ด้วย ( ตัวอย่างบทความจาก The Guardian ) การแก้ปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์จึงไม่อาจมองแยกขาดจากบริบทเศรษฐกิจและการเมืองได้นั่นเอง

แน่นอนว่าการใช้กฎหมายก็ยังจำเป็น แต่การหวังพึ่งโทษแรงๆ อย่างจำคุกหนัก หรือแม้แต่ในบางประเทศที่ถึงขั้นประหารชีวิตคนเรามันยังกล้าทำเลยครับ อาจไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่ แต่ดูกรณีคนเกาหลีเหนือแอบดูซีรีส์เกาหลีใต้สิครับ ดูอิทธพลการการอยากเสพสื่อ ต่อให้รู้ว่าเสี่ยงถึงตายยังทำเลย ( ดูข่าวตัวอย่างกรณีเกาหลีเหนือ )

ดังนั้นการลงโทษแรงๆ มันไม่ได้แก้รากของปัญหาอย่างแท้จริง เพราะตราบใดที่สื่อเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็น “บัตรผ่านการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม” มากกว่าความบันเทิงส่วนตัว คนก็ยังหาทางเข้าถึงอยู่ดี ทางออกที่เป็นไปได้มากกว่า คือทำให้โครงสร้างพื้นฐานของชีวิตคนส่วนใหญ่ดีขึ้นพอที่เขาจะ “เข้าถึงของถูกลิขสิทธิ์ได้จริง” ทั้งในแง่ราคาและโครงข่ายเทคโนโลยี แล้วใช้กฎหมายจัดการกับกลุ่มที่ตั้งใจละเมิดอย่างจริงจังไม่กี่เปอร์เซ็นต์ให้ชัดเจน เพราะถ้าจะหว่านแหจับหมดมันก็จะมีวิธีหลบหลีกไปเรื่อยๆ เพราะจำนวนคนที่ละเมิดมันคุ้มให้ทำไงครับ (ถ้าคนมีคนพอจะดูแบบถูกกฎหมาย คนเลวบริสุทธิ์ที่เลือกจะดูหนังเถื่อนมันจะน้อย จนเว็บเถื่อนไม่มีเงินจากโฆษณาเว็บพนันพอไปจ่ายค่าเซิร์ฟเวอร์จริงไหมครับ)

สุดท้าย ขอย้ำกันโดนด่าผมไม่ได้มีเจตนาตั้งใจจะสร้างความชอบธรรมให้การละเมิดลิขสิทธิ์ หรือบอกว่าคนละเมิดไม่ผิดกฎหมาย แต่แค่อยากชวนให้มองเพิ่มอีกมุมว่า “คนละเมิดลิขสิทธิ์ = คนเลว” แล้วจบแค่ตรงนั้น เพราะข้างหลังการกระทำหนึ่งครั้ง มักซ้อนทับด้วยปัจจัยอีกมากที่เราไม่เห็น ทั้งเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม โครงสร้างสังคม และรูปแบบการเข้าถึงทรัพยากรทางวัฒนธรรม

ในทางสังคมวิทยา เราสามารถใช้กรอบคิดเรื่อง deviance ของ Émile Durkheim มามองได้ด้วยว่า สังคมที่ก้าวหน้าในเชิงปฏิบัติ ไม่อาจไม่มี deviance (พวกไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม) เลย เพราะการจะให้เป็นแบบนั้น หมายถึงเราต้องใช้การควบคุมแบบฟาสซิสต์สุดโต่ง และขณะเดียวกันถ้า deviance มากจนกลายเป็น “ส่วนใหญ่” ของสังคม (เช่นละเมิดลิขสิทธิ์เยอะมากๆ) เราก็คงต้องกลับไปตั้งคำถามเชิงระบบแทนแล้ว ว่าปัญหาจริงๆ มันคืออะไรกันแน่ นอกจากนี้ในบางกรณี deviance เองก็สร้างสิ่งใหม่ให้สังคมได้เช่นกันนะ เช่น ซอฟต์แวร์ Open-Source จำนวนหนึ่งที่เกิดจากคนไม่อยากจ่ายค่าลิขสิทธิ์แพงๆ เยอะมากๆ จนนักพัฒนามองเห็น แล้วหันมาพัฒนาซอฟแวร์สาธารณะแทน

บทความนี้ผมดัดแปลงและต่อยอดมาจาก A Sociological Perspective of Online Piracy โดยปรับตัวอย่างและบริบทให้เข้ากับเคส “แนนโน๊ะ–เด็กใหม่” และสังคมไทยมากขึ้น ถ้าใครสนใจอ่านฉบับต้นฉบับแบบเต็มๆ ก็ยังตามไปอ่านได้เน้อ

Labels: