หนึ่งในคำอธิบายคือ ในสังคมอย่างสหรัฐฯ ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง ผู้ชายเอเชียมักไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการหาคู่ต่างเชื้อชาติเท่าผู้หญิงเอเชีย สาเหตุสำคัญมาจากการที่ “ผู้หญิงเอเชีย” และ “ผู้ชายเอเชีย” ถูกมองและถูกเหมารวมโดยคนเชื้อชาติอื่นแตกต่างกันอย่างชัดเจน
โดยภาพจำของผู้หญิงเอเชียในสังคมตะวันตกมักถูกสร้างให้เป็นทั้ง “เรียบร้อย” และ “เร่าร้อน” ในเวลาเดียวกัน คล้ายสูตรสำเร็จแบบ “แม่บ้านในครัว อีตัวบนเตียง” ซึ่งเป็นภาพที่ถูกผลิตซ้ำผ่านสื่อมาเป็นเวลานานจนกลายเป็นความเชื่อฝังหัวว่า ผู้หญิงเอเชียทั้ง “submissive” และ “exotic” ตัวอย่างการวิพากษ์ภาพตัวแทนเหล่านี้ในสื่อ สามารถอ่านได้จากบทความ Media Bears Responsibility for Reinforcing Asian American Stereotypes (Guest Column และงานเขียนที่พูดถึงการทำให้ความเป็นเอเชียกลายเป็น “เฟติชทางเพศ” ในสายตาตะวันตก ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีรากมาจากประวัติศาสตร์การเหยียดเชื้อชาติและการเหมารวมเชิงบวก (positive stereotypes) ที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่จริงๆ แฝงการเหยียดเชื้อชาติและเหยียดเพศอยู่เป็นกระบุง
ในทางกลับกัน ผู้ชายเอเชียกลับได้รับผลจากโครงสร้างอคตินี้ในฐานะ “ข้อเสีย” มากกว่าผู้หญิง เพราะถูกเหมารวมว่ามีความเป็นชายต่ำ ไม่แมน เป็นพวกเนิร์ด เงียบ เชื่อฟัง และไม่น่าดึงดูด (passive, geeky and unattractive) เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ชายผิวขาว ผิวดำ หรือเชื้อสายละตินอเมริกัน นอกจากนี้สื่อจำนวนมากในโลกตะวันตกมีส่วนในการช่วยผลิตและตอกย้ำภาพเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งถูกวิจารณ์อย่างชัดเจนในบทความข้างต้นที่กล่าวไปแล้ว
ความย้อนแย้งก็คือ สังคมตะวันตกโดยเฉพาะในอเมริกา มักประกาศตัวว่า “ตื่นรู้เรื่องการเหยียดเชื้อชาติ” ทั้งใน โรงเรียน, ที่ทำงาน และแม้แต่ใน ระบบยุติธรรมทางอาญา แต่พอเป็นเรื่อง “การเลือกคู่” กลับถูกพูดถึงในฐานะ “ความชอบส่วนบุคคล” (personal preference) หรือ “เคมีไม่ตรงกัน” มากกว่าที่จะมองว่าอคติทางเชื้อชาติมีส่วนร่วมอยู่ด้วยอย่างเป็นระบบ
ในเชิงสังคมวิทยา อคติหรือการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศและการเลือกคู่ บนพื้นฐานของเชื้อชาติแบบนี้ถูกเรียกว่า “Sexual Racism” ซึ่งไม่ได้เกิดจาก “ธรรมชาติของมนุษย์” แต่เป็นผลพวงจากประวัติศาสตร์ความไม่เท่าเทียมด้านเชื้อชาติ ความไม่เสมอภาคทางเพศ ประวัติศาสตร์การล่าอาณานิคมในเอเชียโดยชาติตะวันตก และการถูกผลิตซ้ำผ่านสื่อ วาทกรรม และวัฒนธรรมยอดนิยม จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมกระแสหลัก โดยที่หลายคนแทบไม่รู้ตัวว่าตัวเองรับเอาอคติเหล่านี้มาใช้อธิบาย “ความชอบ” ของตัวเองไปแล้ว
แม้ว่าวิธีการหาคู่ในยุคปัจจุบันจะโยกย้ายไปอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น ผ่านแอปหาคู่และแพลตฟอร์มต่างๆ แต่ Sexual Racism ไม่ได้หายไปไหนเลย เปรียบไปก็เหมือนการ “เทเหล้าเก่าลงขวดใหม่” นั่นเอง
งานวิจัยด้านสังคมวิทยาชิ้นหนึ่งที่ศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้แอปหาคู่ในอเมริกาพบว่า ผู้หญิงเชื้อชาติอื่นๆ ถึงประมาณ 90% เลือกตั้งค่าในแอปหาคู่ให้ตัดผู้ชายเอเชียออกจากตัวเลือก ซึ่งทำให้โปรไฟล์ชายเอเชียแทบไม่โผล่ขึ้นมาในหน้า “แนะนำ” เลย ผลการศึกษายังชี้ด้วยว่าผู้ชายผิวขาวมีโอกาสได้รับการกดไลก์และข้อความมากที่สุด ขณะที่ผู้ชายเอเชียอยู่ท้ายแถวของความนิยม
อาจารย์เยว่ เฉียน (Yue Qian) จากภาควิชาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย ได้ทำการทดลองเชิงสังคมเล็ก ๆ เพื่อดูว่าความแตกต่างนี้ชัดแค่ไหน เธอสร้างโปรไฟล์ปลอมในแอปหาคู่ 2 บัญชี คือ 1) ผู้ชายเอเชีย และ 2) ผู้หญิงเอเชีย โดยใช้ชื่อกลาง (unisex) และใช้รูปเพียงสองแบบเหมือนกันคือ รูปหันข้าง และรูปเต็มตัวใส่แว่นกันแดด เพื่อลดปัจจัยด้านหน้าตาและเน้นดูผลของเชื้อชาติ ปรากฏว่า โปรไฟล์ “ผู้หญิงเอเชีย” มีคนกดไลก์และส่งข้อความเข้ามาแทบทุกวัน ในขณะที่โปรไฟล์ “ผู้ชายเอเชีย” แทบไม่มีใครทักเลย ความต่างนี้สะท้อนให้เห็นว่าอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มและอคติของผู้ใช้งาน ร่วมกันผลักชายเอเชียออกไปจากสนามแข่งขันอย่างเงียบ ๆ
ในงานเดียวกันนี้ เธอยังสัมภาษณ์ชายเอเชียจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในสังคมตะวันตก เช่น ชายฟิลิปปินส์-แคนาดาคนหนึ่งที่ใช้แอปหาคู่มาเกือบ 20 ปี เขาเล่าประสบการณ์ว่า
"ผมไม่ชอบการหาคู่ออนไลน์เลย ผู้หญิงมักไม่ตอบข้อความผม ผมรู้สึกเหมือนแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม เพราะไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้จีบแข่งกับผู้ชายเชื้อชาติอื่น ผู้หญิงหลายคนยอมบอกตรงๆ ว่า ‘ไม่รู้สึกดึงดูดกับผู้ชายเอเชีย"
สำหรับชายเอเชียหลายคนแล้ว โอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ในชีวิตจริง (ออฟไลน์) กลับสูงกว่าบนแอปเสียด้วยซ้ำ เพราะในโลกกายภาพ ผู้คนตัดสินกันจากการพูดจา บุคลิก ท่าทาง อารมณ์ขัน และมิติอื่นๆ นอกเหนือจากเชื้อชาติและภาพถ่ายไม่กี่ใบ จึงพอมีพื้นที่ให้ตัวตนของเขาได้สื่อสารออกไป มากกว่าจะโดนคัดออกตั้งแต่หน้าโปรไฟล์
มันแอบนอยด์ตรงที่ว่าโลกอินเทอร์เน็ตถูกยกย่องว่าเป็น “โลกไร้พรมแดน” ช่วยทำลายข้อจำกัดด้านระยะทาง ภาษาหรือเวลา ทำให้คนจากคนละซีกโลกคุยกันได้ง่ายขึ้น แต่กลับทำลาย “พรมแดนทางสังคม” อย่างการเหยียดเชื้อชาติไม่ได้ อันที่จริงอาจแย่กว่านั้น เพราะหลายครั้งโลกออนไลน์มันขยายขอบเขตของอคติเหล่านี้ให้กลายเป็นค่าเริ่มต้นในระบบอัลกอริทึมด้วยซ้ำ
ตอนที่เราโพสต์เวอร์ชันแรกของบทความนี้ลงใน Facebook ส่วนตัว มีเพื่อนหลายคนทักมาถามว่า “แล้วมันผิดเหรอ ที่ไม่ชอบคนเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง ก็ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ จะให้ฝืนใจหรือยังไง?” สำหรับเรา คำถามเรื่อง “ผิด/ไม่ผิด” ไม่ใช่เป้าหมายหลักของบทความเลย จุดสำคัญอยู่ที่การยอมรับก่อนว่า Sexual Racism มีอยู่จริงในตัวเรา และในสังคมที่เราตั้งต้นเติบโตมา เหมือนกับอคติรูปแบบอื่นๆ ที่เราเลี่ยงไม่ได้ ที่สำคัญกว่าคือการที่เราตระหรักรู้ถึงหารมีอคตินี้อยู่ ถึงแม้เราจะตอบคำอื่นว่ามันเป็นความชอบส่วนตัวที่ไม่อาจนำไปสู่การมีความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เราไม่ด่วนตัดสินใครซักคนเพียงเพราะเชื้อชาติ
ถ้าพูดให้เป็นง่ายกว่านั้น สมมติวันหนึ่งมีผู้ชายเอเชียคนหนึ่งมาบอกรักคุณ แล้วในหัวคุณผุดขึ้นมาด้วยระบบอัติโนมัติทันทีว่า “เขาไม่เร่าร้อนพอ” หรือ “เขาคงเนิร์ดเกินไป ไม่น่าดึงดูด” ถ้าเราไม่เคยตั้งคำถามกับอคติของตัวเอง เราอาจรีบปฏิเสธเขาไปเลยเพียงเพราะภาพจำเหล่านี้ แต่หากเราตระหนักได้ถึงการมีอยู่ของอคติ เราอาจชะลอการตัดสินใจลง ลองเปิดใจทำความรู้จักเขาในฐานะ “คนคนหนึ่ง” ก่อน ถ้าสุดท้ายแล้วเขาไม่ตรงกับรสนิยมของคุณจริงๆ คุณก็ยังมีสิทธิ์ปฏิเสธเหมือนเดิม เพียงแต่คราวนี้คุณได้เอาชนะอคติบางส่วนในตัวเองได้แล้ว (มึงงงง เขาอาจรวยมากๆ จนทำลายทุกอคติก็ได้ 55555 หยอกๆ)
ไม่ใช่ของผู้ชายนะ อคติไม่ว่าจะเป็นแนวไหน จะเป็นการเหมารวมเชิงบวกหรือเชิงลบก็ไม่ส่งผลดีต่อทุกคน อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้า ผู้หญิงเอเชียก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะอ่อนหวาน เรียบร้อย หรือ “submissive” ตามภาพจำในสื่อ ผู้หญิงเอเชียบางคนแข็งแรง ดุดัน มีเป็นผู้นำ แต่อาจถูกกลบด้วยอคติเหล่านี้ ในหลายสถานการณ์มันก็ให้ผลในแง่ลบได้เหมือยกัน ดังนั้น คนทุกคนควรถูกมองและถูกตัดสินจากตัวตนจริงๆ ของเขา มากกว่าจะถูกจัดหมวดหมู่จากเชื้อชาติที่เลือกไม่ได้ เมื่อใดเมื่อเราขยับจากการตัดสิน “เชื้อชาติ” ไปสู่การทำความเข้าใจ “ตัวตนของคน” ได้ รสนิยมทางเพศของเราก็จะไม่กลายเป็นปัญหาที่ไปซ้ำเติมความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาติอีกต่อไป
บทความนี้เราเรียบเรียงมาจากต้นฉบับภาษาอังกฤษชื่อ “Asian guys stereotyped and excluded in online dating” เขียนโดย Asst. Prof. Yue Qian บนเว็บไซต์ The Conversation พร้อมทั้งปรับตัวอย่างและบริบทให้เข้ากับผู้อ่านไทยมากขึ้นครับ
Labels: Topic